วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561


" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านชื่อโต ท่านชอบสร้างพระองค์โตๆ "
                  
                  คำกล่าวเปรยของท่านเจ้าคุณธรรมถาวร ซึ่งเป็นศิษย์ของเจ้าพระคุณสมเด็จโตประโยคนี้ ท่านผู้นิยมพระสมเด็จวัดระฆังฯ คงจะต้องเคยได้ยิน ได้อ่านผ่านตามาบ้าง คำบอกเล่านี้พบอยู่ในบันทึกประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่บันทึกโดยนายกนก สัชชุกร ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งขณะนั้นท่านเจ้าคุณธรรมถาวรมีอายุ ๘๘ ปี


                  
                  นับมาถึงปัจจุบันนี้ คำกล่าวเปรยของท่านเจ้าคุณที่เปรียบเสมือนเป็นคำบอกใบ้ลายแทงถึงกรุพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่เจ้าประคุณสมเด็จท่านนำพระไปบรรจุไว้นั้น ก็เริ่มปรากฏออกมาให้เห็นเป็นประจักษ์ความจริงเป็นลำดับมา ส่วนเรื่องความศรัทธา ความเชื่อของแต่ละคนนั้น เป็นเรื่องของวาสนาบารมีของแต่ละคนเช่นกัน ทำกันมาอย่างไร ก็ได้ไปอย่างนั้น
                  
                  บทความนี้ขอนำบทความของท่านอ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กล่าวถึงพระสมเด็จกรุวัดสะตือมาเผยแพร่ให้ผู้สนใจอีกครั้งหนึ่ง ขออนุญาตท่านอ.รังสรรค์ และขอขอบคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้ พระที่ท่านอ.รังสรรค์นำมาบรรยายในบทความนี้ เป็นพระสมเด็จวัดสะตือของท่านอ.ปรีชา เอี่ยมธรรม ซึ่งทั้งท่านอ.รังสรรค์ และอ.ปรีชา ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องพระเครือง ด้วยประสบการณ์อันยาวนานในวงการนี้ จนเป็นที่ยอมรับเป็นที่รู้จักนับถือในฐานะครู ของวงการพระเครื่องในประเทศไทย




บทความนี้จากเพจ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ/Rangsan Torsuwan fanpage บันทึกเมื่อวันที่  25 กรกฎาคม 2016

พระสมเด็จวัดสะตือ จังหวัดอยุธยา ของสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี 

วันนี้ผมอยากจะเล่าถึงเรื่อง พระสมเด็จของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี พระเถราจารย์ที่คนไทยทั้งหลายให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างสูงและตลอดกาล ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม ท่านได้เคยสร้างพระบูชาองค์ใหญ่ ซึ่งพวกเราเรียกกันว่า หลวงพ่อโตอยู่ทั้งหมด 3 องค์ ได้แก่พระบูชาหลวงพ่อโต ที่วัดเกศไชโย จังหวัดอ่างทอง ซึ่งถือเป็นพระปูนปั้นองค์ใหญ่มากที่สุดในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระหลวงพ่อโตองค์นี้ต้องใช้เวลาสร้างอยู่หลายปี จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่สามารถนิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ในพระบรมมหาราชวังได้เป็นระยะเวลานาน


ที่วัดเกศไชโย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯท่านได้สร้าง พระสมเด็จวัดเกศไชโยขึ้น ซึ่งเป็นพระสมเด็จที่พุทธศาสนิกชนมีความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง ในวงการพระเครื่องถือว่าเป็นพระสมเด็จยอดนิยมเป็นอันดับสามรองลงมาจาก พระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม และพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านยังได้เดินธุดงก์ไปยังอยุทธยา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโยมแม่ ท่านจึงได้สร้างพระนอนปูนปั้นองค์ขนาดใหญ่รองมาจาก พระนอนปูนปั้นที่วัดขุนอินทประมูล ในจังหวัดอ่างทอง โดยการสร้างพระนอนที่อยุธยานั้น เป็นการสร้างพระที่วัดสะตือ 

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2497 พระนอนที่วัดสะตือได้เกิดชำรุดเสียหายหนัก จึงต้องบูรณะสร้างขึ้นใหม่ จึงได้พบพระเครื่องปูนขาวรูปพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตารามเป็นจำนวนมาก เราเรียกกันว่า พระสมเด็จวัดสะตือ

สำหรับพระหลวงพ่อโตองค์ยืนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษีได้สร้างเป็นองค์สุดท้าย อยู่ที่วัดอินทร์ กรุงเทพมหานคร โดยที่ยังไม่ปรากฎว่ามีการขุดพบกรุที่บรรจุพระเครื่องพิมพ์ใดในพระหลวงพ่อโตองค์ยืนในกรุงเทพมหานครแต่อย่างใด

สำหรับพระสมเด็จวัดสะตือนั้น ค้นพบบรรจุอยู่ในองค์พระนอน ซึ่งถูกแช่น้ำมาโดยตลอด พระสมเด็จวัดสะตือในสมัยนั้นลือกันว่า ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม และท่านนายพลอีกหลายท่านครอบครองอยู่ มีพระจำนวนน้อยที่ออกมาสู่มือชาวบ้าน จึงมีผู้ที่พบเห็นน้อยมากครับ

ฯพณฯ จอมพล ป. ได้เคยกราบนมัสการหลวงปู่นาค วัดระฆังโฆษิตาราม ได้ฟังคำชี้แจงจากหลวงปู่ว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี เป็นผู้สร้างพระเครื่องพิมพ์สมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม ทั้งหมดพระที่สร้างในสมัยนั้น ส่วนที่เหลือบางส่วน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เก็บไว้ในฝ้าเพดานพระอุโบสถ วัดระฆังโฆษิตาราม จึงเป็นเหตุให้พระสมเด็จวัดสะตือเป็นพระที่มีพุทธศิลป์ มวลสารการสร้างพระ ตลอดจนการหดตัว และตำหนิศิลปะแม่พิมพ์เหมือนกับ พระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตารามที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างขึ้นครับ

เมื่อพระนอนปูนปั้นองค์ใหญ่ที่วัดสะตือ จังหวัดอยุธยา สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม เพราะฉะนั้นพระผงสมเด็จกรุวัดสะตือซึ่งขุดได้จากภายในองค์พระนอนย่อมต้องเป็นพระเครื่องที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ อย่างไม่ต้องสงสัย บรรดาเซียนปากสุนัขไม่ต้องสงสัยในประเด็นว่าสร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯหรือไม่ องค์พระนอนนั้นยาวสามสิบกว่าเมตร จัดเป็นพระนอนที่ใหญ่มากเป็นอันดับสองในประเทศไทย พระสมเด็จที่ฝังอยู่ในกรุภายในองค์พระนอนนั้น ถูกแช่น้ำยาวนานมากว่าร้อยปี เพราะที่อยุธยาจะมีน้ำท่วมทุกปี เมื่อหลายปีก่อนมีเพื่อนผมไปนำพระสมเด็จกรุวัดสะตือมาให้ดู เห็นเป็นพระผุ ๆ พัง ๆ ขี้ดินผสมทราบเต็มไปทั้งองค์ดูแทบจะไม่เป็นพระเครื่องหรือพระสมเด็จเลย ต้องอาศัยอาราธณาเอาครับ

วันนี้พี่เปี๊ยก ปรีชา เอี่ยมธรรม ได้นำพระสมเด็จวัดสะตือมาให้ผมดูองค์หนึ่ง เป็นพระที่สวยงามมากครับ เห็นเป็นพระผงสมเด็จเนื้อขาว แต่ไม่เห็นเนื้อในจึงยังไม่สามารถวิเคราะห์ว่า เนื้อมวลสารจะเหมือนพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตารามหรือไม่ มีเศษน้ำรักจับอยู่ประปราย และที่สำคัญที่สุดก็คือ มีคราบแคลเซียม จับเป็นแผ่นทั่วทั้งองค์พระ สีจึงกลับกลายเป็นสีเทา และพุทธศิลป์เป็นพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม พิมพ์ใหญ่ ซุ้มครอบแก้วเป็นซุ้มหวายผ่าครึ่งที่เส้นใหญ่ จุดโค้งของซุ้มครอบแก้วด้านขวาขององค์พระประธานช่วงบนโค้งจะเอียงเข้าในองค์พระประธาน ตามพุทธศิลป์ของพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม พิมพ์ใหญ่ทั้ง 4 พิมพ์ครับ

เส้นกรอบแม่พิมพ์กรอบนอกด้านซ้ายมือขององค์พระประธาน จะมีเส้นกรอบพิมพ์จากด้านบนวิ่งลงมาจรดเส้นซุ้มครอบแก้ว บริเวณแขนใกล้ข้อศอกของพระประธาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม พิมพ์ใหญ่ทั้ง 4 พิมพ์เช่นกัน พุทธศิลป์ขององค์พระจะล่ำสันและน่าจะเป็นศิลปะของพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ A ซึ่งจะมีเส้นแซมใต้ฐานเส้นบาง ๆ 

สำหรับรายละเอียดตำหนิแม่พิมพ์เช่นหูติดรำไรก็ดี เม็ดพระธาตุก็ดี รอยรูพรุนของเข็มก็ดี รอยหนอนด้นก็ดี หรือรอยปูไต่ก็ดีนั้น ล้วนมองไม่เห็นชัด เพราะเคลือบด้วยผิวแคลเซียม และพิมพ์หลังก็มีกรวดทรายจับอยู่เต็มทั้งองค์ครับ ผิวแคลเซียมเป็นหินปูนซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อองค์พระอยู่ในกรุมีอายุร้อยกว่าปี ของปลอมจะทำขึ้นไม่ได้เลยครับ



1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ห้าล้านขายใหม