วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

พระสมเด็จวัดระฆังฯ กรุวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์องค์นี้ เป็นพระที่ขึ้นกรุตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อครั้งเปิดกรุครั้งแรก โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อคราวเข้าไปบูรณะองค์พระนอน พระองค์นี้อยู่ในการครอบครองของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โดยที่ใส่กรอบเลี่ยมทองเก็บอยู่ในเซฟมา 60 ปี


พระอยู่ในสภาพเดิมตลอดมา ไม่ได้ถูกล้างลอกรัก เป็นอีกองค์ที่เห็นว่าน่าจะนำมาให้ศึกษาธรรมชาติของรักที่แห้งสนิท จะเห็นรักบางส่วนที่แห้งจนหมดยางแล้วหลุดล่อนออกเอง เปิดให้เห็นผิวพระที่ปกคลุมด้วยน้ำปูนที่ซึมขึ้นมา หรือแคลไซค์ เป็นสีขาวแห้งเหมือนปูนตายซาก รอยแตกรอยแยกหรือที่เรียกว่ารอยหนอนด้นนั้น มีการหดตัวตามขอบรอยแยก หรือขอบหลุมบ่อรอบๆ ก้อนมวลสารพระธาตุ พระเนื้อผงที่มีมวลสารหลักเป็นปูน เมื่อคายความชื้นจะมีการหดตัวซึ่งทำให้ร่องรอยเหล่านี้ต้องไม่มีความคม ไม่ดูระคายสายตา



วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

พระสมเด็จวัดระฆังฯ บรรจุกรุวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์ น่าจะเป็น พระกรุสุดท้ายของการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ มีบันทึกว่าบรรจุกรุเมื่อปีพ.ศ.๒๔๑๔ ก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ จะสิ้นเพียง ๑ ปี พระกรุนี้แยกแยะได้ด้วยพุทธศิลป์ และธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แต่พระที่พบก็มีหลายลักษณะ ตามเหตุปัจจัยเช่น ตำแหน่งที่อยู่ในกรุ การชุบรัก การปิดทอง ฯลฯ อย่างเช่นองค์นี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการศึกษา เพราะมีลักษณะแปลกเฉพาะองค์หลายประการ

ประการแรก เป็นพระที่ชุบรักน้ำเกลี้ยงเพียงรอบเดียว และผู้ชุบก็ไม่พิถีพิถัน คราบรักไม่เสมอกันทั้งองค์แสดงชัดเจนว่าเป็นการทำด้วยมือคนที่มีทั้งประณีตและทำแบบลวกๆ รักที่แห้งสนิทจนกลายเป็นเนื้อเดียวกับผิวพระ เห็นความแกร่ง ร่องรอยการหดตัวเป็นธรรมชาติของพระที่เก็บในกรุนับร้อยปี โดยเฉพาะบริเวณเส้นซุ้มเรือนแก้วจะเห็นการหดตัวได้ชัดเจน

อีกประการที่น่าสนใจ คือคราบแคลไซค์ หรือน้ำปูนที่ซึมออกมาติดแน่นอยู่เหนือคราบรักแสดงความเก่าได้อายุ คราบแบบนี้ถ้านำพระไปแช่น้ำจะเลือนหายไป แต่เมื่อแห้งคราบจะกลับมาเหมือนเดิม คราบติดแน่นไม่สามารถปัดออกได้ เว้นแต่จะขูดทิ้งซึ่งน่าจะเปิดผิวพระออกไปด้วย เห็นว่าประเด็นนี้น่าสนใน ผู้เขียนจึงนำภาพที่ขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์ ขยายขนาด 40 และ 100 เท่ามาให้ชมประกอบการศึกษา


บริเวณวงกลมแดง คือจุดที่ขยายภาพด้วยกล้องจุลทรรศน์






วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

จากความตอนหนึ่งในตำราพิจารณาพระสมเด็จของ อ.ตรียัมปวาย ได้กล่าวไว้ว่า 

นายกนก สัชชุกร ผู้บันทึกประวัติของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ก็ได้เคยเรียนถามท่านเจ้าคุณธรรมถาวร ซึ่งเป็นศิษย์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีอายุขณะนั้นได้ 88 ปี ความว่า 

"ท่านทราบบ้างไหมว่า เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้บรรจุพระของท่านไว้ที่ใดบ้าง"

ท่านก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปฏิเสธว่าไม่ทราบ แต่ท่านได้กล่าวเปรยๆ ว่า 

"เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านชื่อโต ท่านชอบสร้างพระองค์โตๆ"

หนึ่งในพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างไว้คือ พระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางพุทธไสยาสน์ ที่วัดสะตือ ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระนอนใหญ่มีขนาดยาว 52 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 16 เมตร องค์พระโปร่ง ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2414 ก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ จะมรณภาพ 1 ปี และยังได้สร้างพระเจดีย์อีก 1 องค์ไว้ริมแม่น้ำป่าสัก สร้างเพื่อระลึกถึงโยมมารดาของท่าน

พระสมเด็จวัดระฆังฯ กรุวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์ ถูกพบครั้งแรกเมื่อ จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาปิดทองพระนอนวัดสะตือซึ่งเวลานั้นพระนอนอยู่ในสภาพทรุดโทรมมากจึงบัญชาการให้กรมโยธาเทศบาลได้จัดการปฏิสังขรณ์พระนอนใหม่เมื่อ พ.ศ. 2499 และมีการย้ายเจดีย์ที่เดิมอยู่ริมแม่น้ำ นำมาสร้างใหม่ ตรงเศียรของพระนอน จึงได้พบพระสมเด็จพิมพ์ต่างๆ บรรจุอยู่

แต่ด้วยในสมัยนั้นพระสมเด็จวัดระฆังยังไม่ได้เป็นที่นิยมจึงไม่ได้เป็นข่าว พระสมเด็จที่ถูกพบจึงได้มีการแจกจ่ายเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะในขณะนั้นเท่านั้น และหนึ่งในผู้ที่ได้รับพระกรุนี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นคือ พ.ต.อ. พันศักดิ์ วิเศษภักดี อดีตผู้บังคับการกองปราบ และหนึ่งในอัศวินแหวนเพชรของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ

พระชุดนี้จึงได้ถูกเก็บรวบรวมไว้จำนวนหนึ่งจากทายาทของ พ.ต.อ. พันศักดิ์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สำคัญในการศึกษาประวัติที่มาของพระสมเด็จวัดระฆังฯ บรรจุกรุวัดสะตือ หากปล่อยให้เปลี่ยนมือไปไม่รวบรวมบันทึกเอาไว้ เรื่องราวการศึกษาประวัติที่มาของกรุวัดสะตือในส่วนนี้ก็จะเลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย







พระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้สร้างและบรรจุกรุไว้นั้น นับเวลาถึงปัจจุบันก็ไม่ต่ำกว่า 140 ปี หากไม่ได้นำมาล้างลอกรักออก พระที่พบจะเป็นพระที่ลงรัก และอาจจะมีปิดทองด้วย ด้วยช่วงของเวลาที่พระอยู่ในกรุ จะเห็นคราบกรุอยู่เหนือเนื้อรักเนื้อทอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่บรรจุกรุวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยานั้น จะมีคราบกรุชัดเจน เพราะวัดอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก น้ำจะท่วมเกือบทุกปี คราบกรุที่พบจะมีเม็ดกรวดเม็ดทราย แม้แต่เศษกิ่งไม้ติดแน่นอยู่บนองค์พระ ลักษณะคราบกรุมีมากน้อยขึ้นอยู่กับจุดที่พระอยู่ในกรุ ว่าอยู่ในจุดที่น้ำท่วมถึงหรือพ้นน้ำ ซึ่งลักษณะคราบจะเป็นไปโดยธรรมชาติ

พระถูกพบครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อครั้งจอมพลป. พิบูลสงครามนายกรัฐมนตรีในยุคนั้นได้เข้าไปบูรณะองค์พระพุทธไสยาสน์ และได้สร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ขึ้นแทนองค์เดิมที่ตั้งอยู่ริมตลิ่ง ถูกทิ้งให้ทรุดโทรมเสียหายจากน้ำท่วม และได้นำพระที่พบในคราวนั้นบรรจุไว้ในเจดีย์องค์ใหม่ด้วย

คราบกรุที่ทับถมเป็นเวลานานจะติดแน่นอยู่กับเนื้อรักเนื้อทองขององค์พระเป็นลักษณะ "กรุทับทอง" แต่ก็พบว่าพระบางองค์มีทองปิดอยู่เหนือคราบกรุเป็นลักษณะ "ทองทับกรุ" จึงนับเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ว่าเมื่อคราวเปิดกรุในครั้งแรกนั้น ได้มีการนำพระที่มีคราบกรุอยู่ มาปิดทองก่อนที่จะบรรจุกลับเข้าไว้ในเจดีย์องค์ที่สร้างขึ้นใหม่จริง และพระก็อยู่ในกรุมาจนกระทั่งมีการเปิดกรุในอีก 50 ปีให้หลัง จึงได้เห็นพระบางองค์มีทั้ง "กรุทับทอง ทองทับกรุ" ทับกันเป็นชั้นๆ ในองค์เดียว



พระสมเด็จวัดระฆังฯ กรุวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์ เป็นพระที่บรรจุในองค์พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) และพระเจดีย์ ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2414 ก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โต จะมรณภาพ 1 ปี สร้างเพื่อระลึกถึงโยมมารดาของท่านเอง

โดยเจ้าประคุณท่านได้มาทำการก่อสร้างพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางพุทธไสยาสน์ ณ หมู่บ้านที่ถือกำเนิดที่วัดท่างาม ปัจจุบันคือ วัดสะตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งพระนอนใหญ่มีขนาด ยาว 52 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 16 เมตร องค์พระโปร่ง(ซึ่งใช้เป็นที่บรรจุพระไว้ภายใน)

พระสมเด็จวัดระฆังฯ กรุวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์ ถูกค้นพบเมื่อ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาปิดทองพระนอนวัดสะตือซึ่งเวลานั้นพระนอนอยู่ในสภาพทรุดโทรมมากจึงบัญชาการให้กรมโยธาเทศบาลได้จัดการปฏิสังขรณ์พระนอนใหม่เมื่อ พ.ศ. 2499 จึงได้พบพระสมเด็จพิมพ์ต่างๆ บรรจุอยู่