" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ท่านชื่อโต ท่านชอบสร้างพระองค์โตๆ "
คำกล่าวเปรยของท่านเจ้าคุ ณธรรมถาวร
ซึ่งเป็นศิษย์ของเจ้าพระคุณ สมเด็จโตประโยคนี้
ท่านผู้นิยมพระสมเด็จวัดระฆังฯ คงจะต้องเคยได้ยิน ได้อ่านผ่านตามาบ้าง
คำบอกเล่านี้พบอยู่ในบันทึกประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่บันทึกโดยนายกนก สัชชุกร ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งขณะนั้นท่านเจ้าคุณธรรมถาวรมีอายุ
๘๘ ปี
นับมาถึงปัจจุบันนี้
คำกล่าวเปรยของท่านเจ้าคุณที่เปรียบเสมือนเป็นคำบอกใบ้ลายแทงถึงกรุพระสมเด็จวัดระฆังฯ
ที่เจ้าประคุณสมเด็จท่านนำพระไปบรรจุไว้นั้น ก็เริ่มปรากฏออกมาให้เห็นเป็นประจักษ์ความจริงเป็นลำดับมา
ส่วนเรื่องความศรัทธา ความเชื่อของแต่ละคนนั้น เป็นเรื่องของวาสนาบารมีของแต่ละคนเช่นกัน
ทำกันมาอย่างไร ก็ได้ไปอย่างนั้น
บทความนี้ขอนำบทความของท่านอ.รังสรรค์
ต่อสุวรรณ ที่กล่าวถึงพระสมเด็จกรุวัดสะตือมาเผยแพร่ให้ผู้สนใจอีกครั้งหนึ่ง
ขออนุญาตท่านอ.รังสรรค์ และขอขอบคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้ พระที่ท่านอ.รังสรรค์นำมาบรรยายในบทความนี้
เป็นพระสมเด็จวัดสะตือของท่านอ.ปรีชา เอี่ยมธรรม ซึ่งทั้งท่านอ.รังสรรค์
และอ.ปรีชา ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องพระเครือง ด้วยประสบการณ์อันยาวนานในวงการนี้
จนเป็นที่ยอมรับเป็นที่รู้จักนับถือในฐานะครู ของวงการพระเครื่องในประเทศไทย
บทความนี้จากเพจ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ/Rangsan Torsuwan fanpage บันทึกเมื่อวันที่
25 กรกฎาคม 2016
พระสมเด็จวัดสะตือ
จังหวัดอยุธยา ของสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี
วันนี้ผมอยากจะเล่าถึงเรื่อง พระสมเด็จของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี พระเถราจารย์ที่คนไทยทั้งหลายให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างสูงและตลอดกาล ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม ท่านได้เคยสร้างพระบูชาองค์ใหญ่ ซึ่งพวกเราเรียกกันว่า “หลวงพ่อโต” อยู่ทั้งหมด 3 องค์ ได้แก่พระบูชาหลวงพ่อโต ที่วัดเกศไชโย จังหวัดอ่างทอง ซึ่งถือเป็นพระปูนปั้นองค์ใหญ่มากที่สุดในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระหลวงพ่อโตองค์นี้ต้องใช้เวลาสร้างอยู่หลายปี จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่สามารถนิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ในพระบรมมหาราชวังได้เป็นระยะเวลานาน
ที่วัดเกศไชโย
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯท่านได้สร้าง พระสมเด็จวัดเกศไชโยขึ้น
ซึ่งเป็นพระสมเด็จที่พุทธศาสนิกชนมีความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง
ในวงการพระเครื่องถือว่าเป็นพระสมเด็จยอดนิยมเป็นอันดับสามรองลงมาจาก
พระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม และพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านยังได้เดินธุดงก์ไปยังอยุทธยา
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโยมแม่ ท่านจึงได้สร้างพระนอนปูนปั้นองค์ขนาดใหญ่รองมาจาก
พระนอนปูนปั้นที่วัดขุนอินทประมูล ในจังหวัดอ่างทอง
โดยการสร้างพระนอนที่อยุธยานั้น เป็นการสร้างพระที่วัดสะตือ
เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2497 พระนอนที่วัดสะตือได้เกิดชำรุดเสียหายหนัก
จึงต้องบูรณะสร้างขึ้นใหม่
จึงได้พบพระเครื่องปูนขาวรูปพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตารามเป็นจำนวนมาก
เราเรียกกันว่า “พระสมเด็จวัดสะตือ”
สำหรับพระหลวงพ่อโตองค์ยืนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษีได้สร้างเป็นองค์สุดท้าย อยู่ที่วัดอินทร์ กรุงเทพมหานคร โดยที่ยังไม่ปรากฎว่ามีการขุดพบกรุที่บรรจุพระเครื่องพิมพ์ใดในพระหลวงพ่อโตองค์ยืนในกรุงเทพมหานครแต่อย่างใด
สำหรับพระหลวงพ่อโตองค์ยืนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษีได้สร้างเป็นองค์สุดท้าย อยู่ที่วัดอินทร์ กรุงเทพมหานคร โดยที่ยังไม่ปรากฎว่ามีการขุดพบกรุที่บรรจุพระเครื่องพิมพ์ใดในพระหลวงพ่อโตองค์ยืนในกรุงเทพมหานครแต่อย่างใด
สำหรับพระสมเด็จวัดสะตือนั้น
ค้นพบบรรจุอยู่ในองค์พระนอน ซึ่งถูกแช่น้ำมาโดยตลอด
พระสมเด็จวัดสะตือในสมัยนั้นลือกันว่า ท่านจอมพล ป.
พิบูลสงคราม และท่านนายพลอีกหลายท่านครอบครองอยู่
มีพระจำนวนน้อยที่ออกมาสู่มือชาวบ้าน จึงมีผู้ที่พบเห็นน้อยมากครับ
ฯพณฯ จอมพล ป. ได้เคยกราบนมัสการหลวงปู่นาค
วัดระฆังโฆษิตาราม ได้ฟังคำชี้แจงจากหลวงปู่ว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต
พรหมรังษี เป็นผู้สร้างพระเครื่องพิมพ์สมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม
ทั้งหมดพระที่สร้างในสมัยนั้น ส่วนที่เหลือบางส่วน
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เก็บไว้ในฝ้าเพดานพระอุโบสถ วัดระฆังโฆษิตาราม
จึงเป็นเหตุให้พระสมเด็จวัดสะตือเป็นพระที่มีพุทธศิลป์ มวลสารการสร้างพระ
ตลอดจนการหดตัว และตำหนิศิลปะแม่พิมพ์เหมือนกับ
พระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตารามที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างขึ้นครับ
เมื่อพระนอนปูนปั้นองค์ใหญ่ที่วัดสะตือ
จังหวัดอยุธยา สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี
เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม
เพราะฉะนั้นพระผงสมเด็จกรุวัดสะตือซึ่งขุดได้จากภายในองค์พระนอนย่อมต้องเป็นพระเครื่องที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ
อย่างไม่ต้องสงสัย บรรดาเซียนปากสุนัขไม่ต้องสงสัยในประเด็นว่าสร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯหรือไม่
องค์พระนอนนั้นยาวสามสิบกว่าเมตร จัดเป็นพระนอนที่ใหญ่มากเป็นอันดับสองในประเทศไทย
พระสมเด็จที่ฝังอยู่ในกรุภายในองค์พระนอนนั้น ถูกแช่น้ำยาวนานมากว่าร้อยปี
เพราะที่อยุธยาจะมีน้ำท่วมทุกปี เมื่อหลายปีก่อนมีเพื่อนผมไปนำพระสมเด็จกรุวัดสะตือมาให้ดู
เห็นเป็นพระผุ ๆ พัง ๆ
ขี้ดินผสมทราบเต็มไปทั้งองค์ดูแทบจะไม่เป็นพระเครื่องหรือพระสมเด็จเลย
ต้องอาศัยอาราธณาเอาครับ
วันนี้พี่เปี๊ยก
ปรีชา เอี่ยมธรรม ได้นำพระสมเด็จวัดสะตือมาให้ผมดูองค์หนึ่ง
เป็นพระที่สวยงามมากครับ เห็นเป็นพระผงสมเด็จเนื้อขาว
แต่ไม่เห็นเนื้อในจึงยังไม่สามารถวิเคราะห์ว่า
เนื้อมวลสารจะเหมือนพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตารามหรือไม่ มีเศษน้ำรักจับอยู่ประปราย
และที่สำคัญที่สุดก็คือ มีคราบแคลเซียม จับเป็นแผ่นทั่วทั้งองค์พระ
สีจึงกลับกลายเป็นสีเทา และพุทธศิลป์เป็นพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม พิมพ์ใหญ่
ซุ้มครอบแก้วเป็นซุ้มหวายผ่าครึ่งที่เส้นใหญ่
จุดโค้งของซุ้มครอบแก้วด้านขวาขององค์พระประธานช่วงบนโค้งจะเอียงเข้าในองค์พระประธาน
ตามพุทธศิลป์ของพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม พิมพ์ใหญ่ทั้ง 4 พิมพ์ครับ
เส้นกรอบแม่พิมพ์กรอบนอกด้านซ้ายมือขององค์พระประธาน จะมีเส้นกรอบพิมพ์จากด้านบนวิ่งลงมาจรดเส้นซุ้มครอบแก้ว บริเวณแขนใกล้ข้อศอกของพระประธาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม พิมพ์ใหญ่ทั้ง 4 พิมพ์เช่นกัน พุทธศิลป์ขององค์พระจะล่ำสันและน่าจะเป็นศิลปะของพระสมเด็จวัดระฆังโฆษิตาราม พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ A ซึ่งจะมีเส้นแซมใต้ฐานเส้นบาง ๆ
สำหรับรายละเอียดตำหนิแม่พิมพ์เช่นหูติดรำไรก็ดี เม็ดพระธาตุก็ดี รอยรูพรุนของเข็มก็ดี รอยหนอนด้นก็ดี หรือรอยปูไต่ก็ดีนั้น ล้วนมองไม่เห็นชัด เพราะเคลือบด้วยผิวแคลเซียม และพิมพ์หลังก็มีกรวดทรายจับอยู่เต็มทั้งองค์ครับ ผิวแคลเซียมเป็นหินปูนซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อองค์พระอยู่ในกรุมีอายุร้อยกว่าปี ของปลอมจะทำขึ้นไม่ได้เลยครับ